หุ้น หรือ กองทุน เลือกแบบไหน ถามใจเธอดู
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
เปิดศักราชปี 2561 ตลาดหุ้นไทยวิ่งฉิว กระทิงเต็มกระดาน หัวใจนักลงทุนพองโตและมั่นใจว่าจะเป็นปีทองของการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า จึงพากันกระโดดเข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก จาก 1,700 จุดกว่าๆ พุ่งทะลุ 1,800 จุด ทำลายสถิติใหม่ตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายเมื่อ 43 ปีที่แล้ว
ผ่าน 2 เดือนแรกของปี ตลาดหุ้นไทยเริ่มผันผวนมากขึ้น พร้อมๆ กับดัชนีหุ้นเริ่มมีลักษณะ Sideway Down นั่นคือค่อยๆ ปรับลดลง ใครที่รู้สึกว่าเห็นท่าไม่ดีตั้งแต่แรกก็ขายแล้วหยิบกำไรกลับบ้าน ส่วนใครที่ออกอาการลังเลและสุดท้ายกอดหุ้นที่ซื้อเอาไว้ตอนต้นปีก็รับสภาพกับผลตอบแทนลดลงหรืออาจถึงขั้นขาดทุน
เช่นเดียวกัน ผลตอบแทนของกองทุนรวมหุ้นก็ได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นผันผวนและปรับลดลงต่อเนื่อง แน่นอนใครถือกองไหนเอาไว้ และเปิดดูผลการดำเนินงานคงเห็นตัวเลขกำไรลดลง สังเกตกันง่ายๆ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ปรับลดลง
สถานการณ์แบบนี้ หลายคนคงเริ่มจุกอกและมีคำถามในใจว่า “แล้วลงทุนแบบไหน” ถึงจะไม่โดนหางเลขแบบนี้ คำตอบคือ ไม่มี เพราะการลงทุนไม่มีใครสามารถเอาชนะตลาดได้ 100% พูดง่ายๆ มีทั้งกำไรและขาดทุน
จากนั้นก็จะมีคำถามตามมาว่า “แล้วแบบไหนขาดทุนน้อยที่สุดและกำไรมากที่สุด” คำตอบคือ ไม่มีใครรู้ เพราะไม่ว่าจะซื้อหุ้นเองหรือลงทุนผ่านกองทุนรวม ล้วนมีโอกาสได้กำไรดีงาม และมีโอกาสขาดทุนสุดๆ
ดังนั้น หากมีเงินก้อนหนึ่งแต่กำลังชั่งใจว่าจะซื้อหุ้นด้วยตัวเองหรือลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้น ต้องถามตัวเองให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจ
ข้อมูลแน่น
ก่อนการลงทุนทุกอย่าง เราจะต้องมีความรู้ มีข้อมูล เข้าใจว่าตัวเองลงทุนอะไรอยู่ แต่ถ้าสนใจลงทุนหุ้นด้วยตัวเอง ระดับความรู้ ข้อมูลข่าวสารต้องแน่นปึ้ก ที่สำคัญต้องเข้าใจ ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ วิเคราะห์ความเป็นไปของเศรษฐกิจได้ เข้าใจภาพอุตสาหกรรม ภาพธุรกิจ รู้เรื่องบัญชี งบการเงิน ตีความเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นได้ ที่สำคัญขยันกับการติดตามข้อมูลข่าวสาร
ถามตัวเองแล้ว พบว่ามีทุกข้อ การซื้อหุ้นด้วยตัวเองน่าจะเหมาะสมและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ตรงกันข้าม เมื่อถามตัวเองแล้วพบว่าความรู้มีแต่ไม่ลึกซึ้งนัก รู้เรื่องเศรษฐกิจ เข้าใจภาพการทำธุรกิจบ้าง ส่วนเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้น งบการเงินก็ตอบไม่ได้เลย ถ้าเป็นแบบนี้การลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลสอดส่องเงินลงทุนให้เรา
เวลา
ก่อนกระโดดเข้าสู่โลกการลงทุน ไม่ว่าจะซื้อหุ้นเอง กองทุนรวม หรือลงทุนอะไรก็ตาม ควรสำรวจตัวเองก่อนว่ามีเวลากับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากแบบเหลือๆ แถมมีความรู้เรื่องการลงทุนแน่นมาก ก็ซื้อหุ้นไปเถอะ เพราะการซื้อหุ้นต้องใช้เวลาในการติดตามเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นผันผวน แค่จะลุกไปเข้าห้องน้ำยังต้องคิดแล้วคิดอีก
แต่ถ้าไม่มีเวลาเลย เช่น มนุษย์เงินเดือน ต้องทำมาหากินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กองทุนรวมน่าจะเป็นคำตอบที่ดี เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลเงินลงทุนแทนเรา
อารมณ์
ถ้าใครข้อมูลแน่น มีเวลาเหลือเฟือ ก็ต้องดูนิสัยตัวเองว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นคนอารมณ์เย็น มีสติ ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังเสมอ ที่สำคัญไม่มีความโลภ คือมีวินัยสุดๆ ก็ซื้อหุ้นด้วยตัวเองไปเถอะ เพราะการลงทุนหุ้นนั้น การตัดสินใจว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว อารมณ์คือกุญแจสำคัญ
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ยังไม่คงที่ พูดง่ายๆ ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ในการตัดสินใจ คงต้องเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม น่าจะปลอดภัยที่สุด
ชอบเสี่ยงแค่ไหน
ก่อนลงทุน ตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่า ถ้าซื้อหุ้น 1 ล้านบาท แล้วเกิดหุ้นตกและขาดทุน 3 แสนบาท รับได้หรือไม่ ถ้ารับได้แสดงว่ารับความเสี่ยงได้สูง แต่ถ้าคำตอบออกมาว่า รับไม่ได้กับเงินก้อนนี้หายไป ก็เลือกทางเดินผ่านกองรวมทุนจะดีกว่า
เงินหน้าตัก
การซื้อหุ้นแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินก้อนโตพอสมควร เช่น อยากซื้อหุ้น ABC ราคา 50 บาท จำนวน 1,000 หุ้น ต้องใช้เงิน 50,000 บาท สัปดาห์ต่อมาสนใจหุ้น XYZ ราคา 30 บาท จำนวน 2,000 หุ้น ต้องจ่ายอีก 60,000 บาท ยกเว้นมองหาหุ้นที่ซื้อขายที่ราคาต่ำ เช่น 1 บาท 3 บาท แต่แน่นอน หุ้นเหล่านี้มักเป็นหุ้นที่ต้องลงทุนสไตล์เก็งกำไร ซื้อขายเร็วๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าซื้อขายหลายๆ รอบก็ต้องมีเงินหน้าตักสูงเหมือนกัน ขณะที่การลงทุนผ่านกองทุนรวมแต่ละครั้งใช้เงินนิดเดียว บางกอง 100 บาทก็ลงทุนได้
แน่นอนว่าการลงทุนหุ้นจะให้ผลตอบแทนในระดับสูงและสูงกว่ากองทุนรวม แต่ก็หมายความมีโอกาสขาดทุนมีสูงเช่นเดียวกัน ขณะที่กองทุนรวมจะค่อยๆ สร้างผลตอบแทนไปเรื่อยๆ เพราะเหมาะกับการลงทุนระยะยาว แต่ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นเดียวกันแต่อาจจะไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับหุ้น
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกองทุนรวมต้องถามใจตัวเองให้ดีๆ ก่อน ว่าตัวเองพร้อมมากน้อยแค่ไหน