×

Wealth Me Up ข่าวสั้น ทันเศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์แล้ว...จริง?

2,688

 

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

คนที่ไม่ได้ติดตามภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ​อย่างใกล้ชิดอาจไม่ทราบว่า มูลค่ารวม (Market Cap) ของตลาดหุ้นทั่วโลกได้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อตอนต้นปีที่ 87 ล้านล้านดอลล่าร์​แล้ว แปลง่ายๆ ก็คือตลาดหุ้นโลกได้ก้าวข้ามผลกระทบจากวิกฤติโควิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ถ้าวัดจากดัชนีตลาดหุ้นก็จะเห็นภาพที่สอดคล้องกัน โดยดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World) เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ได้ฟื้นกลับมาอยู่ที่ระดับเดียวกับเมื่อตอนต้นปีพอดี แยกเป็นตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (MSCI DM) ที่ปรับขึ้นเล็กน้อย (+0.2%) ในขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (MSCI EM) ปรับลงเล็กน้อย (-3%)

 

หลายคนอาจสงสัยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นทุกวัน เศรษฐกิจทั่วโลกก็ยังอยู่ในภาวะถดถอย และเกือบทุกประเทศยังปิดประเทศอยู่

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทยจะเหมือนฉายหนังคนละม้วน เพราะ SET Index ปรับลงถึง 21% ในปีนี้ และมูลค่ารวมตลาดหุ้นไทยยังน้อยกว่าตอนต้นปีถึง 3 ล้านล้านบาท

 

คนส่วนใหญ่คาดว่าน่าจะเกิดจากอิทธิพลของนโยบาย Quantitative Easing (QE) ของ Fed และธนาคารกลางอีกหลายแห่ง เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เม็ดเงินจำนวนมากไหลบ่าเข้าสู่ตลาดหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดเหล่านั้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

แต่ในความเป็นจริง สภาพคล่องที่เกิดจาก QE ส่วนใหญ่ไม่ได้ไหลเข้ากองทุนประเภทหุ้น หรือ Equity Funds แต่ไหลเข้ากองทุนประเภทความเสี่ยงตำ่อย่าง Money Market และกองทุนตราสารหนี้มากกว่า

 

มิหนำซ้ำ เม็ดเงินจำนวนมากยังไหลออกจากหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักจากโควิดด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง ราคาหุ้นธนาคารสหรัฐฯ​​ ปรับลงถึง 37% นับจากต้นปี ธนาคารยุโรปปรับลง 43% ธนาคารอังกฤษปรับลง 50% บริษัทนำ้มัน Exxon ปรับลง 49% สายการบิน United Airlines ปรับลง 60% กลุ่มโรงแรม Hyatt ปรับลง 40% เป็นต้น

 

ดังนั้น QE จึงไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้มูลค่ารวมตลาดหุ้นโลกพุ่งกลับมาที่ระดับก่อนโควิด

 

คำตอบคือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นับจากต้นปี ราคาหุ้น Amazon ปรับขึ้นไปแล้ว 73% คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นถึง 6.7 แสนล้านดอลลาร์ หุ้น Apple ปรับขึ้นไป 54% คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 7 แสนล้านดอลลาร์ แค่หุ้น 2 ตัวนี้ มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ​ ก็เพิ่มขึ้นเกือบ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ไปแล้ว หรือคิดเป็นเกือบ 3 เท่าของมูลค่าตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด

 

หุ้นน้องใหม่อย่าง Zoom ที่ให้บริการ virtual conference platform ราคาปรับขึ้นถึง 620% จาก US$68 เมื่อตอนต้นปี มาอยู่ที่ US$478 หุ้นบริษัท Sea ของ Singapore ที่ให้บริการ internet platform และเป็นบริษัทแม่ของ Shopee ราคาขึ้นจาก US$40 เป็น US$155 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 300% เป็นต้น

 

กล่าวโดยสรุป การฟื้นตัวของตลาดหุ้นหลังโควิด ไม่ได้เกิดขึ้นทั้งตลาด หรือในทุกตลาด แต่เป็นการฟื้นในแบบ “K-shaped” หมายความว่ามีทั้งหุ้นที่ปรับขึ้น (หุ้นกล่มที่ได้ประโยชน์จาก “New Normal”) และหุ้นที่ปรับลง (หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด) และมีทั้งตลาดหุ้นที่ปรับขึ้น (ตลาดที่มีหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมาก) และตลาดหุ้นที่ปรับลง (ตลาดที่มีแต่หุ้น “Old Economy”)

 

ตลาดหุ้นไทย จัดอยู่ในตลาดกลุ่มหลังที่มีแต่หุ้นขนาดใหญ่ประเภทเดิมๆ ประเภท cyclical เช่น ธนาคาร น้ำมัน ปิโตรเคมี ค้าปลีก ฯลฯ ซึ่งทำให้ขาดความน่าสนใจ อีกทั้งเราไม่มีหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากการดำเนินชีวิตแบบปกติใหม่

 

ย้อนกลับไปปี 2008 Exxon เคยเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ​ โดยมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ ในปีนั้น Apple มีมูลค่าเพียง 1.5 แสนล้านดอลลาร์

 

ปัจจุบันนี้ Apple กลายเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ​ ด้วยมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามด้วย Amazon, Microsoft, Google, Facebook ฯลฯ​ ในขณะที่มูลค่าของ Exxon ลดลงเหลือ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ และไม่อยู่ใน 20 อันดับแรก

 

เปรียบเทียบกับไทย 10 บริษัทใหญ่สุดในตลาดหุ้นเปลี่ยนแปลงไปน้อยมากในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ในภาวะเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ หุ้นเหล่านี้ไม่ใช่ทางเลือกแรกของนักลงทุน จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยออกไปเรื่อยๆ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา

 

ถึงเวลาแล้วที่ตลาดหุ้นไทยต้องเร่งพัฒนาสินค้าให้เป็นที่ถูกใจนักลงทุน

 

#WealthMeUp

 

ที่มาข้อมูล : คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย

https://www.facebook.com/1822279580/posts/10215040593247899/?extid=0&d=n

Related Stories

amazon anti fatigue mats